ผู้เขียน: somna

  • The Conjuring: Last Rites (2025) คนเรียกผี พิธีกรรมครั้งสุดท้าย

    The Conjuring: Last Rites (2025) คนเรียกผี พิธีกรรมครั้งสุดท้าย

    รีวิวและวิจารณ์ฉบับเต็ม: The Conjuring: Last Rites (2025)

    คะแนน IMDB (ตามข้อมูลปัจจุบัน): ยังไม่มีคะแนนอย่างเป็นทางการที่สรุปได้ แต่ได้รับคำวิจารณ์ผสมผสาน (Mixed Reviews) โดยคะแนนจากนักวิจารณ์บน Rotten Tomatoes อยู่ที่ประมาณ และ Metacritic อยู่ที่ประมาณ

    ผู้กำกับ: ไมเคิล ชาเวส (Michael Chaves) นักแสดงนำ:

    • เวรา ฟาร์มิกา (Vera Farmiga) เป็น ลอร์เรน วอร์เรน (Lorraine Warren)
    • แพทริค วิลสัน (Patrick Wilson) เป็น เอ็ด วอร์เรน (Ed Warren)
    • มีอา ทอมลินสัน (Mia Tomlinson) เป็น จูดี้ วอร์เรน (Judy Warren) ลูกสาวของทั้งคู่
    • เบน ฮาร์ดี้ (Ben Hardy) เป็น โทนี่ สเปรา (Tony Spera) คู่หมั้นของจูดี้
    • รีเบคกา คาลเดอร์ (Rebecca Calder) เป็น เจเน็ต สมูล (Janet Smurl)
    • เอลเลียต โควาน (Elliot Cowan) เป็น แจ็ค สมูล (Jack Smurl)

     

    เรื่องย่ออย่างละเอียด (Plot Summary)

     

    The Conjuring: Last Rites เป็นภาคที่ 4 ในซีรีส์หลัก และเป็นภาคที่ 9 ในจักรวาล The Conjuring โดยอ้างอิงจากคดีจริงของครอบครัว สมูล (Smurl Haunting) ที่เกิดขึ้นในรัฐเพนซิลเวเนีย ในช่วงกลางทศวรรษ 1980

    1. ปฐมบท (Flashback): ภาพยนตร์เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ย้อนหลังในปี 1964 เมื่อเอ็ดและลอร์เรน วอร์เรน ได้สืบสวนคดีเกี่ยวกับ กระจกโบราณ ที่ร้านขายของเก่า ลอร์เรนเกิดนิมิตเห็นสิ่งชั่วร้ายและบุตรในครรภ์ของเธอ ทำให้เธอเจ็บท้องคลอดกะทันหัน แม้ว่าทารกจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่คำอธิษฐานของลอร์เรนก็ทำให้ทารกกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งทารกนั้นคือ จูดี้ ลูกสาวของพวกเขา
    2. ครอบครัวสมูล (The Smurl Haunting): ยี่สิบสองปีต่อมา (ค.ศ. 1986) ครอบครัวสมูล ซึ่งประกอบด้วย แจ็ค และ เจเน็ต พร้อมด้วยลูกสาวสี่คน และพ่อแม่ของแจ็ค ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่เวสต์ พิตต์สตัน รัฐเพนซิลเวเนีย พวกเขาเริ่มเผชิญกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีสิ่งชั่วร้ายสามตนคุกคามพวกเขา ได้แก่ หญิงชรา, หญิงสาว, และชายถือขวาน
    3. ความเชื่อมโยงกับจูดี้: จูดี้ วอร์เรน ซึ่งในวัยผู้ใหญ่เริ่มมีความสามารถในการสัมผัสสิ่งลี้ลับมากขึ้น ก็เริ่มมีอาการหวาดกลัวจากนิมิต แม้ว่าลอร์เรนจะพยายามสอนให้เธอ “ปิด” ความสามารถนั้นมาตลอดชีวิต
    4. คำขอความช่วยเหลือ: เมื่อครอบครัวสมูลไปขอความช่วยเหลือจากบาทหลวง กอร์ดอน แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ บาทหลวงกอร์ดอนกลับถูกปีศาจโจมตีจนตัดสินใจฆ่าตัวตาย (แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและอำนาจของปีศาจ)
    5. การสืบสวนครั้งสุดท้าย (สปอยล์): เอ็ดและลอร์เรนตัดสินใจรับคดีนี้ และพบว่าผีร้ายทั้งสามที่ตามหลอกหลอนครอบครัวสมูลนั้นเป็นเพียง เบี้ย (Pawns) ที่ถูกควบคุมโดย ปีศาจ (Demon) ที่ทรงอำนาจกว่า ซึ่งปีศาจตัวนี้คือตนเดียวกับที่พวกเขาเคยเจอในคดีกระจกโบราณเมื่อปี 1964
    6. การเผชิญหน้าและเดิมพัน: ปีศาจจากกระจกตามล่า จูดี้ วอร์เรน จนถึงบ้านของพ่อแม่เธอ ปีศาจเข้าสิงจูดี้ ทำให้เอ็ดหัวใจวายและลอร์เรนถูกทำร้ายในห้องใต้ดิน โทนี่ สเปรา คู่หมั้นของจูดี้เข้ามาช่วยลอร์เรนได้ทันเวลา
    7. การกำจัด: เอ็ดไม่สามารถไล่ปีศาจออกจากกระจกได้ด้วยพิธีไล่ผีแบบเดิม ๆ ลอร์เรนจึงตัดสินใจบอกให้จูดี้ ยอมรับ และ ใช้ พลังจิตที่เธอมี จูดี้ ได้รับการช่วยเหลือจากพ่อแม่และใช้ความสามารถของตนเองร่วมกับวอร์เรนส์ ทำลายกระจก ซึ่งเป็นภาชนะกักเก็บปีศาจลงได้ในที่สุด (การที่วอร์เรนส์สามารถทำลายสิ่งชั่วร้ายลงได้ ถือเป็นจุดจบที่ค่อนข้างสมบูรณ์สำหรับเนื้อเรื่องหลัก)
    8. บทส่งท้าย: ครอบครัวสมูลใช้ชีวิตในบ้านหลังนั้นต่ออีกสามปีโดยไม่มีสิ่งชั่วร้ายรบกวน ส่วนชิ้นส่วนกระจกที่เหลือถูกนำไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ลึกลับของวอร์เรนส์ ภาพยนตร์จบลงอย่างซาบซึ้งด้วยฉากงานแต่งงานของจูดี้และโทนี่ โดยมีเอ็ดเป็นคนจูงมือลูกสาวเดินเข้าพิธี และเอ็ดกับลอร์เรนสวมกอดกันพร้อมนิมิตถึงชีวิตอันสงบสุขที่พวกเขาวางแผนไว้

     

    บทวิจารณ์เชิงวิพากษ์ (Critique)

     

    The Conjuring: Last Rites ถูกวางตำแหน่งให้เป็น “คดีสุดท้าย” สำหรับคู่สามีภรรยาวอร์เรน (Vera Farmiga และ Patrick Wilson) ซึ่งการแสดงของทั้งคู่ก็ยังคงเป็น “หัวใจและจิตวิญญาณ” ของภาพยนตร์ชุดนี้ พวกเขามีเคมีที่ยอดเยี่ยมและสร้างความรู้สึกอบอุ่นและศรัทธาท่ามกลางความหวาดกลัวได้อย่างน่าประทับใจ

    ข้อดีที่โดดเด่น:

    • ความผูกพันของครอบครัววอร์เรน: ภาพยนตร์เน้นย้ำเรื่องราวส่วนตัวของครอบครัววอร์เรน โดยเฉพาะ จูดี้ และความสามารถทางจิตของเธอ ทำให้ผู้ชมได้เห็นพัฒนาการของตัวละครที่เชื่อมโยงกับมรดกของพ่อแม่
    • ฉากสยองขวัญที่น่าจดจำ: ถึงแม้จะมีคำวิจารณ์เรื่องจังหวะ แต่หลายฉากผีหลอก (Jump Scares) ถูกสร้างขึ้นอย่างมีชั้นเชิงและมีภาพที่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะภาพของปีศาจและผีที่ถูกควบคุม
    • บทสรุปที่ให้ความรู้สึกปิดท้าย: ในฐานะตอนจบ (Last Rites) ภาพยนตร์ได้นำกลับไปเชื่อมโยงกับปฐมบทของวอร์เรนส์ในปี 1964 และจบลงด้วยการส่งท้ายตัวละครหลักอย่างสง่างาม ทำให้แฟน ๆ รู้สึกอิ่มเอมใจ

    ข้อเสีย (ที่นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ชี้):

    • โครงเรื่องที่คุ้นเคยเกินไป: สำหรับภาคสุดท้าย นักวิจารณ์คาดหวังความแตกต่างที่กล้าหาญมากขึ้น แต่หนังกลับย้อนกลับไปใช้สูตรสำเร็จของ The Conjuring ภาคแรก ๆ ทำให้รู้สึกว่าขาดความสดใหม่และเป็นการ “เล่นอย่างปลอดภัย”
    • การตัดต่อที่ยืดยาว: ด้วยความยาวกว่า 135 นาที ภาพยนตร์ถูกวิจารณ์ว่ามีจังหวะที่ย้วยยานในครึ่งหลัง ส่วนสำคัญของเรื่องราว (เช่น การสืบสวนของครอบครัวสมูล และเรื่องราวส่วนตัวของจูดี้) ไม่ได้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่นนัก
    • เดิมพันที่ไม่สูงพอ: แม้จะเป็น “คดีสุดท้าย” ที่น่าจะท้าทายจนถึงขีดสุด แต่ด้วยความที่ตัวละครวอร์เรนส์มี “เกราะป้องกันเนื้อเรื่อง” (Plot Armor) ที่หนาแน่น ทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกว่าพวกเขาตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงอย่างแท้จริง ซึ่งทำให้ความตื่นเต้นลดลงไปบ้าง

    ตัวอย่างหนัง

     

    สรุป:

    The Conjuring: Last Rites เป็นการปิดฉากชุดภาพยนตร์หลักของวอร์เรนส์ที่ อบอุ่นหัวใจและน่าขนลุกไปพร้อมกัน มันอาจจะไม่น่ากลัวและสดใหม่เท่าภาคแรก แต่ก็ยังคงรักษามาตรฐานความสยองขวัญแบบ Haunted House ที่เป็นเอกลักษณ์ของแฟรนไชส์นี้ไว้ได้อย่างมั่นคง หากคุณคือแฟนของ Ed และ Lorraine Warren และชื่นชมเคมีของ Patrick Wilson และ Vera Farmiga นี่คือ จดหมายอำลา ที่คุ้มค่าแก่การรับชมครับ

  • MGI กับการจัดการความเสี่ยงด้านชื่อเสียง: บทเรียนที่ต้องยอมรับว่า ‘การตรวจสอบเบื้องต้น’ ล้มเหลว กรณี เบบี๋ สุพรรณี

    MGI กับการจัดการความเสี่ยงด้านชื่อเสียง: บทเรียนที่ต้องยอมรับว่า ‘การตรวจสอบเบื้องต้น’ ล้มเหลว กรณี เบบี๋ สุพรรณี

    เจาะลึกการบริหารจัดการวิกฤตของ กองประกวดมิสแกรนด์ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งออกมาแสดงความเสียใจและยอมรับว่า “มิได้ตรวจสอบอย่างรอบคอบตั้งแต่แรกเริ่ม” การยอมรับนี้เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดในกระบวนการคัดกรอง และตอกย้ำว่าในยุคดิจิทัลที่ผู้เข้าประกวดมาจากหลากหลายอาชีพและมีอดีตที่ซับซ้อน กระบวนการ Due Diligence (การตรวจสอบประวัติ) ขององค์กรต้องมีการปรับปรุงและเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อแบรนด์ในอนาคต

  • รีวิว Kindle Paperwhite (2024): รุ่นเดียวที่ทุกคนควรมี—ดีกว่า Signature Edition ด้วยซ้ำ

    รีวิว Kindle Paperwhite (2024): รุ่นเดียวที่ทุกคนควรมี—ดีกว่า Signature Edition ด้วยซ้ำ

    ในตลาดเครื่องอ่านอีบุ๊ก (E-reader) Kindle ถือเป็นผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย และจากการทดสอบเครื่องอ่านอีบุ๊กเกือบทุกรุ่นในตลาด ผู้รีวิวสรุปว่า Kindle ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด (แม้ว่าคู่แข่งอย่าง Kobo จะตามมาอย่างใกล้ชิดก็ตาม)

    แต่ในบรรดา Kindle หลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพื้นฐาน, Paperwhite, Paperwhite Signature Edition หรือ Kindle Scribe รุ่นใหม่ล่าสุด Kindle Paperwhite เจเนอเรชันที่ 12 (รุ่นปี 2024) คือตัวเลือกที่ดีที่สุดและเป็นรุ่นเดียวที่คุณต้องการ

    Kindle Paperwhite รุ่นใหม่นี้ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย ด้วยความเร็ว น้ำหนักเบา และใช้งานง่าย ทำให้มันเป็นสุดยอดเครื่องอ่านอีบุ๊กในเวลานี้

    สเปคและราคาที่น่าสนใจ

     

    Kindle Paperwhite รุ่นปี 2024 มีขนาดหน้าจอใหญ่กว่ารุ่นมาตรฐานถึง หนึ่งนิ้วเต็ม

    • ราคา: $159.99 สำหรับรุ่นมีโฆษณา และ $179.99 สำหรับรุ่นปลอดโฆษณา
    • ความจุ: รุ่นใหม่นี้กำหนดมาตรฐานความจุที่ 16GB (หากต้องการอัปเกรดเป็น 32GB จะต้องเลือกซื้อรุ่น Signature Edition เท่านั้น)
    • หน้าจอ: ขนาด 7 นิ้ว (ใหญ่ขึ้นจากรุ่นปี 2021 เล็กน้อย) ความละเอียด 300 ppi
    • แบตเตอรี่: ชาร์จผ่านพอร์ต USB-C ใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 12 สัปดาห์
    • ความทนทาน: ได้รับมาตรฐานกันน้ำ IPX8 สามารถจมน้ำได้นานถึงหนึ่งชั่วโมง

     

    เร็วขึ้นและหน้าจอคมชัดขึ้น

     

    ถึงแม้ว่ารุ่นก่อนหน้าจะดีอยู่แล้ว แต่การอัปเกรดที่สำคัญที่สุดของรุ่นใหม่นี้อยู่ที่ ประสิทธิภาพและความเร็วของหน้าจอ

    • ความเร็วในการตอบสนอง: Kindle รุ่นล่าสุดทำงานได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 25%) ซึ่งหมายถึง การโหลดที่น้อยลง ระหว่างการเปลี่ยนหน้า หรือเมื่อเปิด/ปิดหนังสือ
    • หน้าจอคุณภาพสูง: แม้สเปคความสว่างและความละเอียดจะไม่เปลี่ยนจากรุ่นก่อน แต่หน้าจอของรุ่นปี 2024 ดูมีความละเอียดสูงขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้ใกล้เคียงกับความละเอียดของแท็บเล็ตมากขึ้น และยังคงใช้หน้าจอแบบด้าน (Matte Finish) ที่ อ่านง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นกลางแจ้งที่มีแดดจ้า หรือในห้องนอนที่มืดสนิท

     

    แบตเตอรี่ที่ไม่มีใครเทียบ

     

    เป็นเรื่องที่หาได้ยากที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในบ้านจะสามารถใช้งานได้ยาวนานเป็นเดือนโดยไม่ต้องชาร์จ แต่ Kindle Paperwhite สามารถทำได้ รุ่นใหม่นี้ให้เวลาใช้งานเพิ่มขึ้นอีกสองถึงสามสัปดาห์ ผู้รีวิวระบุว่าโดยเฉลี่ยแล้วเขาจะชาร์จ Kindle Paperwhite เพียง ทุกสองถึงสามเดือน เท่านั้น แม้จะใช้งานเกือบทุกวัน

     

    สร้างคลังหนังสือได้ง่ายและประหยัด

     

    การลงทุนซื้อ Kindle Paperwhite อาจดูเหมือนแพง แต่ในระยะยาวจะทำให้คุณประหยัดเงินในการซื้อหนังสือได้มาก เพราะ อีบุ๊กใน Kindle Store มีราคาถูกกว่า หนังสือปกแข็งมาก

    • Kindle Rewards: ทุกการซื้อจะได้รับคะแนนสะสม ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเครดิตสำหรับซื้ออีบุ๊กได้
    • Kindle Unlimited: บริการแบบสมัครสมาชิกรายเดือน (มีทดลองใช้ฟรี 3 เดือนเมื่อซื้อ Kindle) ให้คุณยืมหนังสือได้ไม่จำกัด
    • อ่านฟรีจากห้องสมุดด้วย Libby: Kindle Paperwhite รองรับแอปฯ Libby ซึ่งให้คุณยืมอีบุ๊กจากห้องสมุดท้องถิ่นมาอ่านบน Kindle ได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

     

    เหนือกว่า Signature Edition ด้วยเหตุผลเดียว

     

    ผู้รีวิวใช้เวลาหลายสัปดาห์กับทั้งรุ่น Paperwhite และ Signature Edition (SE) และพบว่าตัวเองชอบ Paperwhite มากกว่า เหตุผลหลักคือหน้าจอล็อกแบบมีโฆษณา

    • รุ่นมีโฆษณา (Paperwhite): ต้อง ปัดหน้าจอ (Swipe) เพื่อปลดล็อกทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เครื่องเปิดเองโดยไม่ตั้งใจเมื่อใส่ไว้ในกระเป๋า
    • รุ่นปลอดโฆษณา (SE): หน้าจอล็อกจะ ข้ามไปเองโดยอัตโนมัติ เมื่อกดปุ่มเปิดเครื่อง ซึ่งฟังดูสะดวก แต่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่คือ เครื่องอาจเปิดเองในกระเป๋า ทำให้ ตำแหน่งหน้าที่อ่านหายไป ได้บ่อยครั้ง

     

    สิ่งที่ควรปรับปรุง (แต่ไม่ใช่จุดตัดสิน)

     

    แม้จะเป็นเครื่องอ่านอีบุ๊กที่ดีที่สุด แต่ Kindle Paperwhite ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ

    • ตำแหน่งปุ่ม Power: ปุ่มเปิด/ปิดเครื่องยังคงอยู่ที่ ด้านล่าง ของเครื่อง ซึ่งมักจะถูกกดโดยไม่ได้ตั้งใจขณะถืออ่าน
    • ขาด Gyroscope: Kindle ยัง ไม่มีเซนเซอร์ Gyroscope (เซนเซอร์หมุนทิศทาง) ที่จะหมุนหน้าจอตามการถือเครื่องอัตโนมัติ (เหมือนที่ Kobo มี)
    • ไม่มีปุ่มเปลี่ยนหน้า: Amazon ได้ยกเลิกการผลิต Kindle Oasis ที่เป็น Kindle รุ่นเดียวที่มีปุ่มเปลี่ยนหน้า ทำให้ผู้ใช้หลายคนหวังว่ารุ่นใหม่จะมีปุ่ม แต่ก็ถูกตัดออกไป การเปลี่ยนหน้าจอด้วยปุ่มทางกายภาพยังคงเป็นประสบการณ์การอ่านที่ดีกว่าการสัมผัสหน้าจอ

    ควรเปลี่ยนจากรุ่น 11th Gen ไหม? หาก Kindle Paperwhite รุ่นเดิมของคุณยังใช้งานได้ดี การอัปเกรดอาจไม่จำเป็น เพราะความเร็วที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้นแทบไม่รู้สึก แต่รุ่น 12th Gen มีขนาดใหญ่กว่า 0.2 นิ้ว ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องซื้อเคสใหม่ด้วย

     

    สรุปความคุ้มค่า

     

    Kindle Paperwhite คือ สุดยอดเครื่องอ่านอีบุ๊กโดยรวม ไม่ใช่แค่สุดยอดของ Kindle เท่านั้น ด้วยขนาดที่กะทัดรัด น้ำหนักเบา หน้าจอที่ปรับความอุ่นได้ดีต่อสายตา และการทำงานที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้มันเป็นเครื่องอ่านอีบุ๊กที่ดีที่สุดที่คุณสามารถซื้อได้ในปัจจุบัน และคุ้มค่ากับราคาแม้จะสูงกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อยก็ตาม


    คุณให้ความสำคัญกับฟังก์ชัน การอ่านจากห้องสมุด (Libby) หรือ การตัดเสียงรบกวน มากกว่ากันครับ หากต้องเลือกซื้อเครื่องอ่านอีบุ๊ก?

    ข้อมูลจาก sea.mashable.com